วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว......ในปี 1(945). [1]


(ตอน...เริ่มต้นกับการร่วมกลุ่ม)


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนที่ไกลแสนไกล สมัยที่มนุษย์ยังไม่บังเกิดขึ้น คงมีเพียงแต่สัตว์ต่างๆที่อยู่อาศัยบนดินแดนแห่งนี้ สัตว์นั้นมีมากมายหลากหลายประเภท มาจากร้อยพ่อพันแม่ จึงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ในสังคมไม่มีสัตว์ตัวใดจะอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ จึงเริ่มพยายามจับกลุ่มในสัตว์ที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ชอบหากินและอาศัยในถิ่นเดียวกัน จึงทำให้สัตว์ทุกตัวนั้นอยู่เป็นกลุ่มๆท่ามกลางสังคมอันยิ่งใหญ่


การอยู่อาศัยด้วยกันนั้นตอนแรกเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย อาจเป็นเพราะสัตว์ทั้งหลายต่างที่ต่างถิ่น ไม่รู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกัน ความสุภาพและความเรียบร้อยที่บังเกิดขึ้น เปรียบเสมือนหน้ากากที่ช่วยให้สัตว์เหล่านั้นอยู่รอดในสังคมต่อไป ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์ในกลุ่มเดียวกันก็ตาม ยังไม่มีใครสนิทใจพอที่จะไวใจแสดงตัวตนที่แท้จริงของสัตว์ออกไป นี่เองเป็นสภาพสังคมที่แท้จริงของสัตว์ ที่ต้องเจอทุกวันในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่


แต่สัตว์นั้นก็ยังเป็นสัตว์อยู่วันยังค่ำ เมื่อเวลาผ่านไปซักพักหนึ่ง สัตว์เริ่มรู้จักกันมากขึ้น ใกล้ชิดกันมากขึ้น พฤติกรรมของสัตว์ก็เริ่มเปลี่ยนไป แน่นอนว่าสัตว์ย่อมมีความไว้เนื้อเชื่อใจในกลุ่มที่สัตว์นั้นคบอยู่ด้วยกัน ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นแสดงออกได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไปหาอาหารกินด้วยกัน เริ่มจับกลุ่มวิจารณ์สัตว์กลุ่มอื่นๆ บางครั้งสัตว์ในกลุ่มก็ได้ช่วยเหลือและพึ่งพาอาศัยกัน นั่นนับว่าเป็นส่วนดีของกลุ่มที่ทำให้สัตว์นั้นได้รับผลประโยชน์


เมื่อมีการแสดงออกอย่างค่อยเป็นค่อยไปของส่วนลึกของจิตใจที่แท้จริงของสัตว์ตัวนั้นออกมาแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อสังคมสัตว์ และสร้างความเปลี่ยนแปลงตัวกลุ่มของสัตว์เช่นกัน เป็นความจริงที่ว่าสัตว์ทุกตัวย่อมมีข้อดี และเสียปะปนกันไป ไม่มีสัตว์ตัวไหนที่จะสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ธรรมชาติย่อมสร้างสรรค์ความสมดุลในสิ่งต่างๆเพื่อประคองสภาพแวดล้อมให้ดำเนินต่อไป


ความแตกต่างของตัวตนของสัตว์นี่เองที่เป็นตัวสร้างเอกลักษณ์ของสัตว์นั้นๆ เอกลักษณ์นี้ทำให้การดำรงอยู่ของสัตว์ มีสิ่งที่แปลกใหม่เสมอๆ ไม่ซ้ำซากจำเจ มีสิ่งที่สามารถสอดรับซึ่งกันและกัน สามารถเข้าอยู่ด้วยกันได้ เป็นความผสมกลมกลืนที่คอยค้ำจุนให้โลกของสัตว์นั้นดำรงอยู่ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ทุกสิ่งเมื่อมีเปิดย่อมมีปิด เมื่อมีมืดย่อมมีสว่าง ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทำให้ในเอกลักษณ์ของสัตว์นั้นแฝงไปด้วยความมืดมนอยู่


ลักษณะนิสัยที่เริ่มแสดงออกนั้นบางครั้งเป็นนิสัยที่ถือว่าเป็น "ส่วนแย่" ของความเป็นสัตว์ นิสัยส่วนนี้จะเป็นตัวที่จะพิจารณาที่แท้จริง สำหรับกลุ่มที่สัตว์นั้นอยู่ว่าเป็นกลุ่มสำหรับสัตว์นั้นหรือไม่ ถ้าใช่ก็แล้วไป ในกลุ่มปรับตัวรับนิสัยของสัตว์นั้นให้ได้ แต่ที่สัตว์นั้นตัดสินจากพฤติกรรมเสียแล้วว่าไม่สามารถอยู่กลุ่มนี้ต่อไปได้ สัตว์ตัวนั้นก็จะถูกทิ้งไป ให้อยู่โดดเดี่ยว นี่เป็นสภาพที่สัตว์ตัวนั้นต้องยอมรับ ไม่ใช่ว่าจะมาโทษว่าสัตว์กลุ่มที่ตนเองเคยอยู่ ได้พบสัตว์ตัวใหม่ที่เหมาะสมกว่าเรา


ความตาย(หรือตกซัม)อาจเป็นสิ่งที่สัตว์คิดว่าเลวร้ายที่สุด แต่ความจริงแล้วมีสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น การถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวก็เหมือนตายทั้งเป็นนั้นเอง ใช้ชีวิตไปวันๆแบบผ่อนส่ง ไม่มีใครรับฟัง ไม่มีใครปกป้อง ในสังคมที่โหดร้ายของสัตว์ทำให้สัตว์ตัวนี้ไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้เลย แม้จะพยายามเท่าไรก็ตาม นี่อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของสัตว์ นิสัยสำคัญที่ติดตัวสัตว์มาตั้งแต่เกิด เหมือนกับถูกพระเจ้าสาปมา ทำให้สัตว์มักจะดูถูก ว่าร้าย สัตว์กลุ่มอื่น โดยเฉพาะสัตว์ที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว น่าสงสารยิ่งนัก แต่นี่คือความจริงที่หลีกหนีไม่ได้เลย


สัตว์ที่ถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวจะพยายามสร้างเกราะกำบังตัวเอง จากสังคมอันโหดร้ายของสัตว์ด้วยกัน เกราะนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ปกป้องได้ในระดับหนึ่ง แต่จำได้หรือไม่ ธรรมชาติสร้างทุกอย่างให้มาคู่กัน ในขณะที่เกราะนั้นป้องกันสัตว์อยู่ บางครั้งมันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายสัตว์เจ้าของเกราะก็เป็นได้ เกราะอาจจะปิดกั้นตัวสัตว์เองไม่ให้ได้พบเจอกับสัตว์ตัวอื่น บางครั้งอาจปิดตาสัตว์ตัวนั้น ไม่ให้เห็นถึงความช่วยเหลือ และความหวังดีของสัตว์ตัวอื่นๆในสังคม นั่นยิ่งทำให้สัตว์ตัวนั้นตายทั้งเป็นอย่างทรมานมากยิ่งขึ้น


........สัตว์นั้นมีสภาพที่ซับซ้อนยิ่งนัก ครั้งหน้าเจอกันใหม่ กับสัตว์ที่มัวแต่โทษคนอื่นว่าก่อปัญหา โดยไม่ดูตัวเองเลยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือแม้กระทั่งเรื่องที่สำคัญที่สุดของสัตว์ นิสัยที่แท้จริงกับผลกระทบอีกหลายอย่าง ติดตามใน กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว.......ในปี 1(945) [2]................


-----(บทความนี้ไม่ได้พาดพิงถึงใครทั้งสิ้น ธรรมชาติของสัตว์พบได้ทั่วไป ถ้าใครเดือดร้อนก็เป็นธรรมชาติของสัตว์อยุ่แล้ว)------