อืมๆๆ จริง ลุงก็คิดว่าสมศรี - -อ้วนเกินไปแล้ว ลองไปชั่งน้ำหนักดูสิ
โอ้.... ทำม๊ายยยทำมายยย ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้(แค่คิด)
เมื่อป้าไปชั่งน้ำหนัก บัดนั้นเมื่อป้าได้เห็นน้ำหนักตัวเองชัดๆแล้ว(หลีกเลี่ยงการชั่งน้ำหนักมาเป็นปี) ท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสี - -" เกิดวิปริตอาเพศ รอบตัวมืดแปดด้าน พรรณไม้ที่เคยเป็นผลก็กลับเป็นดอก ดอกก็กลับเป็นผล อีกทั้งยังเจอพญาสัตว์ทั้งสามนอนขวางทางอยู่ - - (คุ้นป่ะ).....ป้าเศร้าค่ะ.....
....เศร้ามาก.....
....เศร้ามากที่สุด....
ก็เลยปรึกษาลุงและป้า(ที่เป็นหมอ) จึงได้น้ำหนักที่ควรจะมี นั้นคือ..... ป้าบอกว่าไหนๆก็ปิดเทอมไปลดน้ำหนักให้ได้ก็แล้วกัน...
ป้าเลยตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า อย่างน้อยให้มันลดซัก 5 'โล สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ....
จะบอกให้ว่าปิดเทอมนั้นป้ามีกิจวัตรที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักเยี่ยงไรบ้าง (บางอย่างไม่ควรทำตามนะหลานๆ)
อย่างแรกเลย... ป้ากินให้น้อยลงค่ะ เลิกนิสัยกินเบิ้ลซะ(2) เวลาไปกินอาหารที่ไหนถึงไม่อิ่มก็พอ แล้วก็กินข้าวน้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ลดข้าวให้เหลือมื้อละไม่เกินหนึ่งทัพพี.... แต่ ทำได้อย่างเหลือหลายค่ะ ในวันนึงเนี่ยไปกินข้าวนอกบ้านเฉลี่ยซะสองมื้อ เช่น ไปสั่งข้าวผัดกระเพราเค้าก็ให้ข้าวมาเต็มจาน - - ไอ้จะกินไม่หมดก็เสียดาย เลยต้องกินให้หมด
....ป้าเลยได้พบอาการอย่างแรกค่ะ เมื่อเราลดน้ำหนัก นั้นคือ....เศร้าหลังกินอาหาร..... คืออย่างตอนกลางวันกินข้าวมันไก่ไปหนึ่งจาน อีตอนกินก็อร่อยว่ะ เหอๆๆๆ แต่พอกินเสร็จสิคะ ....เศร้า... นั่งคิด นอนคิด เห้ยยยยข้าวมันไก่จานนึง 400 กิโลแคล
...พระเจ้า.... - -
ถึงกับนอนไม่หลับค่ะ เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า แล้วรู้มั้ยคะว่าป้าทำยังไง พอเช้าวันต่อมา..ไม่กินข้าวเช้า คือ มื้อเช้าเนี่ยไม่ค่อยจะหิวมากอยู่แล้ว เราเลยอาศัยว่าตื่นสายๆซัก 10 โมง แล้วก็ไม่กินอะไรเลย ไม่ ไม่ ไม่ กินอีกที บ่ายสองโน้นนนนนนนนน
..แต่..
พฤติกรรมแบบนี้ทำให้ป้าค้นพบอาการอีกอย่างหนึ่งค่ะนั่นคือ ตบะแตก คือ มันหิวมากๆๆๆๆๆๆ พอเห็นข้าวแล้วก็กิน กิน กิน กิน กิน กลายเป็นว่ากินเยอะกว่าแบบกินข้าวเช้าอีก กรรมจริงๆ เห้ออออออออ
จะควบคุมปริมาณอาหารอย่างเดียวก็ไม่เป็นผลหรอกค่ะถ้าไม่ออกกำลังกาย วู้วววว การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ป้าภูมิใจนำเสนออย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ป้า(เหมือนจะ)ประสบความสำเร็จ
จำได้เลยว่าปิดเทอมกลับไปบ้านวันแรก ฟิตจัดค่ะ แบบโม้กับปู่ ย่า (นั่นก็คือพ่อแม่ของป้า)ไว้มากทำนองว่าอยู่ที่กทม.นะออกกำลังกายทุกวัน ....วิ่งเลยค๊า...วันแรก แบบเราต้องทำให้ได้ 30 นาที ถือนาฬิกาไว้เลย ป้าแบ่งอารมณ์เวลาวิ่งไว้ได้ 4 step ค่ะ ดังต่อไปนี้
1. ชิลด์ ชิลด์ เป็นอารมณ์เริ่มแรกขณะวิ่งค่ะ จะเกิดขึ้นประมาณ 5-10 นาที แบบเริ่มวิ่งใหม่ๆก็สบายๆ มันยังไม่เหนื่อยมาก วิ่งไปได้เรื่อยๆ เหงื่อยังไม่ออก อากาศดูสดใส ลมพัดเย็นสบาย ประมาณว่าเราเนี่ยช่างโชคดีจริงที่รักสุขภาพ โฮะๆๆๆๆ
2. เริ่มเหนื่อย ช่วงนี้เริ่มเหนื่อยตามชื่อระยะค่ะ คือเหงื่อเริ่มออก หายใจถี่ขึ้น แต่ใจก็ยังสู้อยู่ วิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละ ถ้ามีคนมาเห็นตอนนี้จะแบบตัวลอยค่ะ ยิ่งคนเห็นเป็นคนน่าตาดี แล้วชมว่ารักสุขภาพจังครับ(ป้าเจอมากับตัวเอง) วู้วววววววว ...แต่ยังไงก็เริ่มเหนื่อยแล้ว...
3. ใกล้ตาย เป็นระยะที่ทรมานที่สุด คือ เหมือนกับว่าเมื่อไรมันจะจบซะที เริ่มท้ออย่างแรง ระยะนี้อย่าดูนาฬิกาเป็นอันขาดค่ะ จะรู้สึกว่าทำไมเวลามันเดินช้าเหลือหลาย แล้วก็จะหอบอย่างรุนแรง + จุกท้องเป็นระยะๆ ระยะนี้ต้องการกำลังใจอย่างมาก ถ้าใจไม่สู้พอจะหยุดทันที แล้วจะเกิดอาการ เศร้า ว่าเราทำไม่สำเร็จ(ซื่งไม่เคยเกิดกับป้า) ถ้ามีคนมาอยู่เดินหรือวิ่งด้วย ก็จะช่วยให้ผ่านระยะนี้ได้อย่างปลอดภัย
4. วู้วววววว เป็นระยะที่เมื่อดูนาฬิกาแล้วเหลือเวลาอีก 5 นาทีจะครบ 30 นาที เราก็จะดีใจอย่างแรง รู้สึกว่าวิ่งเนี่ยชิลด์ค่ะ เราก็จะวิ่งไปเรื่อยๆๆ แบบสบายใจ และโลกสดใส พอวิ่งเสร็จจะเกิดอาการที่เรียกว่าตาฝาดค่ะ คือรู้สึกว่าตัวเองผอมอย่างฉับพลัน -- แบบวิ่งเสร็จแล้วดูมีทรวดทรงองค์เอว 55+ เป็นอาการโรคจิตของป้าเองค่ะ
และแล้วการลดความอ้วนก็ผ่านไป เหมือนว่าจะประสบความสำเร็จ เมื่อมาชั่งน้ำหนักในอีกเดือนต่อมาก็พบว่า ลดลง ...กิโล แต่ก็ไม่มาก เห้อออออ
แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่มีสุขภาพกายใจแข็งแรง(แม้จะโดนล้อว่าช้างบ้าง อ้วนบ้าง) ก็มีความสุขแล้ว เนอะ
ไปแล้วค่ะ ป้าเรียก ไปตีแบดกับป้าก่อน ตอนกำลังฮิตตี แล้วจะอัพให้บ่อยขึ้นนะ(ถ้ามีอารมณ์) บ๊ายบาย...
17 Inspirational Fashion Show Design
6 ปีที่ผ่านมา